อุทาหรณ์เปิบพิสดาร!งูหัวขาดฉกเชฟจีนดับ
เมนูแปลกเป็นเหตุ เชฟชาวจีนในกวางตุ้ง เจองูหัวขาดฉกเสียชีวิต หลังชำแหละเตรียมนำไปทำอาหาร
แต่สัตว์ไม่มีเท้า เช่น งู ก็เป็นของโปรดของคนจีนและคนกวางตุ้งเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้เกิดเหตุสยองขึ้นกับพ่อครัวชาวเมืองฝอซานในกวางตุ้ง ระหว่างพยายามปรุงอาหารโดยใช้อสรพิษที่มีพิษร้ายกาจถึงตาย นั่นคืองูเห่าพ่นพิษพันธุ์ไทย หรือ Naja Siamensis ซึ่งพบได้ในประเทศไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา และเวียดนาม
งูเห่าพ่นพิษ เป็นงูร้ายที่สามารถพ่นพิษได้ไกลถึง 20 ม. โดยพิษของมันจะไม่เป็นอันตรายหากถูกผิวหนังของคน แต่จะทำให้ตาบอดสนิทหากถูกนัยน์ตาของเรา ที่สำคัญก็คือ งูชนิดนี้จะไม่พ่นพิษสะเปะสะปะ เพราะมันจะเล็งเข้าที่ดวงตาของเหยื่อเท่านั้น
ตามปกติแล้วเชฟจีนจะเชี่ยวชาญในการสยบงูร้าย ก่อนที่จะนำมาปรุงอาหาร ด้วยการตัดหัวมันเสียก่อน จากนั้นค่อยจัดการปรุงตามกระบวนการที่ได้รับออร์เดอร์มา
แต่ไม่รู้เป็นคราวเคราะห์ของเชฟที่ชื่อ เผิงฟ่าน หรือเป็นเพราะความอึดของงูกันแน่ เพราะหลังจากที่พ่อครัวได้ทำการตัดหัวงูขาดไปแล้วนานถึง 20 นาที ปรากฏว่าส่วนหัวของมันกลับยังขยับได้ราวกับมีชีวิต แต่ดูเหมือนว่าพ่อครัวจะไม่ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามนี้
ในช่วงจังหวะที่เชฟกำลังจะโยนหัวของมันทิ้งถังขยะหลังปรุงอาหารเสร็จแล้วนั่นเอง งูเห่าเจ้ากรรมก็ง้างคมเขี้ยวฉกเข้าไปที่มือของเชฟ แล้วปล่อยพิษเข้าร่างอย่างรวดเร็ว
เชฟเคราะห์ร้ายร้องตะโกนอย่างสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด จากนั้นห้องครัวก็เกิดความโกลาหลขึ้น ทำเอาลูกค้าต้องตื่นตกใจไปด้วย หลังจากนั้นมีผู้พยายามเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน แต่ปรากฏว่า ความช่วยเหลือมาไม่ทันการณ์
เชฟเผิงฟ่านเสียชีวิตคาห้องครัวไปเสียแล้ว ด้วยฤทธิ์ของงูเห่าหัวขาด
นับเป็นเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วในเมืองที่กินงูเป็นกิจวัตร สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาพ่อครัวและลูกค้าในร้าน จนไม่เป็นอันกินและไม่เป็นอันทำอาหารเปิบพิสดารกันต่อไป
ด้าน หยางหงจาง ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาพฤติกรรมชีวิตงูมานานถึง 40 ปี เผยว่า งูทุกชนิดยังสามารถขยับร่างกายได้นานถึง 1 ชม. แม้ว่าร่างจะถูกตัดออกเป็นส่วนหรือเหลือเพียงส่วนหัว ซึ่งหมายความว่า แม้จะเหลือเพียงหัว งูก็ยังสามารถฉกกัดเราได้นั่นเอง
ขณะนี้ความต้องการงูในจีนอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมารับประทานเป็นอาหารและนำมาใช้เป็นเครื่องยาแผนโบราณ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับงูหลายประเภท ซึ่งเหลือจำนวนเพียงเล็กน้อยในพื้นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ
ที่มา : หนังสือพิมพ์M2F http://www.m2fnews.com/
แสดงความคิดเห็น